ป่วยโควิด 1,882 ตาย 16 ศูนย์จีโนมฯชี้หน้ากากอนามัย-วัคซีนป้องโอมิครอนกลายพันธุ์ไม่ได้

สังคม
20 พ.ค. 67
13:46
6,489
Logo Thai PBS
ป่วยโควิด 1,882 ตาย 16 ศูนย์จีโนมฯชี้หน้ากากอนามัย-วัคซีนป้องโอมิครอนกลายพันธุ์ไม่ได้
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
กรมควบคุมโรค รายงาน ระหว่างวันที่ 5 - 11 พ.ค.2567 ผู้ป่วยโควิด-19 จำนวน 1,882 คน ตาย 16 คน ขณะที่ ศูนย์จีโนมเผยงานวิจัยชี้หน้ากากอนามัยและวัคซีนไม่สามารถป้องกัน โอมิครอนกลายพันธุ์ JN.1, KP.2, KP.3 ได้

วันนี้ (20 พ.ค.25657) กรมควบคุมโรค รายงาน สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 5 - 11 พ.ค.2567 พบผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล จำนวน 1,882 คน เฉลี่ยรายวัน จำนวน 269 คน/วัน ผู้เสียชีวิต จำนวน 16 คน เฉลี่ยรายวัน จำนวน 2 คน/วัน

ทั้งนี้ยอดผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-11 พ.ค.2567 มีจำนวน 16,819 คน และเสียชีวิตสะสม 120 คน มีจำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบสูงขึ้นต่อเนื่องรวม 679 คน ใส่เครื่องช่วยหายใจ 281 คน 

ขณะที่เพจ ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล Center for Medical Genomics  ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า 

ขณะนี้โอมิครอนกลายพันธุ์ JN.1, KP.2, KP.3 ได้ระบาดไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ข้อมูลจากหลายประเทศชี้ให้เห็นว่าทั้งหน้ากากอนามัยและวัคซีนไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์เหล่านี้ได้ดีมีประสิทธิภาพเหมือนกับสายพันธุ์ในอดีต

ดังนั้นหากท่านและผู้ใกล้ชิดเป็นกลุ่มเปราะบางและมีการติดเชื้อโควิด-19 เพื่อลดอาการเจ็บป่วยรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ควรพบแพทย์เพื่อเข้าถึงยาต้านไวรัสภายใน 3 วันหลังจากติดเชื้อ

จากข้อมูลทางคลินิกบ่งชี้ว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนและเมื่อติดเชื้อโควิด-19 มีการเข้าถึงยาต้านไวรัสจะช่วยให้ร่างกายขจัดไวรัสให้หมดไปได้อย่างรวดเร็ว

อ่านข่าว : "หมอยง" แนะ 9 วิธีป้องกันโควิด-19 ช่วงเปิดเทอม 

ถอดบทเรียนการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มเปราะบางด้วยยาต้านไวรัส

การระบาดของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ทำให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ต้องการการปรับเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงหรือเปราะบาง

การศึกษาย้อนหลังครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสชนิดเม็ด โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) และ แพกซ์โลวิด (Nirmatrelvir/Ritonavir) รวมถึงยาแอนติบอดีสำเร็จรูป โซโทรวิแมบ (Sotrovimab) ที่ฉีดเข้าเส้นเลือดและวัคซีน ในการลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และบางรายถึงขั้นเสียชีวิตจากโควิด-19

การศึกษานี้ ยังพิจารณาระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีเชื้อในร่างกายจนมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับปรุงการรักษาโควิด-19 ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การศึกษาย้อนหลังในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Trieste และหน่วยงานสาธารณสุข ASUGI ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ผลการศึกษาได้ตีพิมพ์ในวารสาร Pharmaceuticals ฉบับที่ 16 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 โดยมีอาสาสมัครทั้งหมด 386 คน ซึ่งประกอบด้วย:

- ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาโมลนูพิราเวียร์: 116 คน
- ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาแพกซ์โลวิด: 102 คน
- ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาโซโทรวิแมบ: 57 คน
- ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการดูแลตามมาตรฐานไม่ใช้ยาต้านไวรัส (controls): 111 คน

ผลการศึกษาพบว่า การรักษาด้วยยาต้านไวรัสทั้งสามชนิดมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลและการเสียชีวิตจากโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ยาโมลนูพิราเวียร์มีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยไม่มีผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับยาแพกซ์โลวิดและโซโทรวิแมบมีอัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ที่ 2 % และ 1.8 % ตามลำดับ

ส่วนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 4 เข็มร่างกายจะขจัดไวรัสออกจากร่างกายได้ดีและรวดเร็วที่สุด

จากผลการศึกษา
- มีผู้ป่วยเพียง 11 คน (2.8%) ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากปอดอักเสบรุนแรงจากโควิด-19
- ไม่มีผู้ป่วยที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
- อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาแพกซ์โลวิดและโซโทรวิแมบอยู่ที่ 2% และ 1.8% ตามลำดับ
- การรักษาด้วยยาโมลนูพิราเวียร์และแพกซ์โลวิดลดความเสี่ยงในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ดีกว่ามาตรฐานการรักษาที่ไม่ใช้ยาต้านไวรัสอย่างมีนัยสำคัญ
- มีผู้เสียชีวิตเพียง 2 คน (0.5%) และทั้งคู่เป็นผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาใด ๆ

ระยะเวลาที่ผู้ป่วยตั้งแต่เริ่มติดเชื้อจนมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับยาและวัคซีนที่ใช้:
- การใช้ยาแพกซ์โลวิดช่วยลดระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ (เฉลี่ย 10.2 ± 4.4 วัน)
- การฉีดวัคซีนโควิด-19 จำนวน 3 หรือ 4 เข็มช่วยลดระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบได้ดีที่สุด
- การรักษาด้วยยาโมลนูพิราเวียร์และแพกซ์โลวิดลดระยะเวลาที่ผู้ป่วยจะมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบได้ดีกว่าการรักษาที่ไม่ใช้ยา
- ผู้ป่วยที่เริ่มการรักษาช้ากว่า 3 วันหลังการวินิจฉัยว่าติดเชื้อโควิด-19 พบผลการตรวจ RT-PCR เป็นลบในระยะเวลาที่ยาวนานกว่า

ข้อดีและข้อควรระวังของการรักษาด้วยยาต่าง ๆ
โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir):
- ประสิทธิภาพสูงในการลดความรุนแรงของอาการและยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส
- การเริ่มการรักษาอย่างรวดเร็วช่วยลดความรุนแรงของโรค
- ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่เข้มงวดช่วยลดความเสี่ยงในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

แพกซ์โลวิด (Paxlovid®):
- ประสิทธิภาพสูงในการลดอาการรุนแรงและระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบ
- ผลข้างเคียงที่ต้องระวัง ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ และอ่อนเพลีย รวมถึงปฏิกิริยาระหว่างยากับยารักษาโรคอื่น ๆ
โซโทรวิแมบ (Sotrovimab):
- มีประสิทธิภาพในการลดอาการรุนแรงและใช้ในกรณีฉุกเฉิน
- ผลข้างเคียงที่ต้องระวัง ได้แก่ อาการแพ้ ผื่นคัน และอาการแพ้ที่รุนแรง

บทสรุป การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่ายาต้านไวรัสโมลนูพิราเวียร์มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อเปรียบเทียบกับแพกซ์โลวิดและโซโทรวิแมบ การเลือกใช้ยาที่เหมาะสมและการเริ่มการรักษาอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความรุนแรงของโควิด-19 และป้องกันการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนี้การฉีดวัคซีนโควิด-19 ยังคงมีผลดีช่วยให้ร่างกายกำจัดไวรัสได้รวดเร็ว สังเกตจากการตรวจหาไวรัสจากสวอบด้วย RT-PCR ให้ผลลบโดยใช้เวลาที่สั้นกว่า จึงควรให้ความสำคัญในการฉีดวัคซีนเพื่อเป็นแนวทางป้องกันที่มีประสิทธิภาพและประหยัดกว่า

 

ถอดบทเรียนประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัย : เปลี่ยนแปลงตามสายพันธุ์โควิด-19 จากเดลต้าถึงโอมิครอน 

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกยังคงดำเนินต่อไป พร้อมกับการเกิดขึ้นของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน หนึ่งในคำถามสำคัญที่หลายคนสนใจคือ การสวมหน้ากากอนามัยยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเหมือนเดิมหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์เดลต้าและโอมิครอนระบาดเป็นสายพันธุ์หลัก

งานวิจัยจากอาสาสมัครในอังกฤษ 200,000 คน ถอดบทเรียนจากข้อมูลของการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อ (UK Office of National Statistics Infection Survey) ซึ่งเก็บข้อมูลจากอาสาสมัครประมาณ 200,000 ราย ที่ทำการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทุกสองสัปดาห์ในช่วงระหว่างวันที่ 21 พ.ค.2564 ถึง 7 พ.ค.2565 และลงตีพิมพ์ในวารสาร PLOS ONE เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2567

พบว่าในช่วงการระบาดของเดลต้า (ก่อน ก.พ.2565) การไม่ใส่หน้ากากมีความเสี่ยงสูงกว่าใส่หน้ากากเสมอ ทั้งในกลุ่มผู้ใหญ่ (ประมาณ 30%) และเด็กวัยเรียน (ประมาณ 10%) โดยผู้ใหญ่มีความแตกต่างของความเสี่ยงสูงกว่ามาก อาจเนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่าเด็ก เช่น การเข้าสังคมหรือทำงานนอกบ้าน

สำหรับการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงในช่วงสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 เมื่อเข้าสู่ช่วงการระบาดของโอมิครอน BA.2 เป็นสายพันธุ์หลัก (หลัง ก.พ.2565) พบการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ การสวมหน้ากากอนามัยไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของผู้ใหญ่อีกต่อไป และในกลุ่มเด็ก การไม่ใส่หน้ากากอนามัยกลับมีความเสี่ยงติดเชื้อต่ำกว่าใส่หน้ากากอนามัยเสมอ

สาเหตุอาจเกิดจากการกลายพันธุ์ของโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 ที่สามารถติดเซลล์ในระบบทางเดินหายใจส่วนบนทำให้แพร่กระจายได้ง่ายขึ้นมาก หน้ากากอนามัยทั่วไปจึงป้องกันได้ไม่ดีเท่ากับสายพันธุ์ก่อนหน้าที่ติดเซลล์ในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง หรืออาจเกิดจากการใส่หน้ากากที่ไม่ถูกวิธี

การคาดการณ์ในอนาคต หากมีการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนรุ่นต่อๆ ไป เช่น โอมิครอน XBB, JN.1, KP.2 และ KP.3 ที่ส่วนหนามมีการกลายพันธุ์เข้าจับกับผิวเซลล์และหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น คาดว่าประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยในการป้องกันการติดเชื้ออาจลดลงไปอีก เนื่องจากไวรัสเหล่านี้อาจมีความสามารถในการแพร่กระจายที่สูงขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตาม การใช้หน้ากากที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น หน้ากาก N95 หรือ KN95 ร่วมกับการสวมใส่อย่างถูกวิธี อาจช่วยรักษาระดับการป้องกันให้ดีขึ้นได้

ข้อมูลที่ควรทราบเกี่ยวกับหน้ากาก N95 และ KN95

ทั้งสองประเภทมีประสิทธิภาพในการกรองอนุภาคขนาดเล็กที่ใกล้เคียงกัน โดยสามารถกรองอนุภาคขนาดประมาณ 0.3 ไมครอน ซึ่งเป็นขนาดที่กรองยากที่สุด ได้มากกว่า 95%

อย่างไรก็ตาม มีข้อแตกต่างเล็กน้อยระหว่างมาตรฐานของทั้งสองประเภท

• หน้ากาก KN95 ผลิตตามมาตรฐานของจีน (GB 2626-2006) ซึ่งเน้นการทดสอบความกระชับของหน้ากากกับใบหน้าผู้สวมใส่ มุ่งเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้อากาศรั่วไหลเข้ามาทางช่องว่างระหว่างหน้ากากกับใบหน้า
• หน้ากาก N95 ผลิตตามมาตรฐานของ NIOSH (National Institute for Occupational Safety and Health) ในสหรัฐอเมริกา มุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพการกรองและการระบายอากาศ หน้ากาก N95 นั้นอาจจะมีช่องระบายอากาศมากกว่า KN95 เล็กน้อย ทำให้ผู้สวมใส่หายใจได้สะดวกกว่า
• ทั้งสองประเภทสามารถใช้แทนกันได้ในสถานการณ์ส่วนใหญ่

ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยในการป้องกันโควิด-19 มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เมื่อเกิดสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่กระจายได้ง่ายขึ้น ตั้งแต่เดลต้า โอมิครอน BA.2 ไปจนถึงสายพันธุ์โอมิครอนรุ่นใหม่ๆ ในอนาคต ดังนั้น การพัฒนาและส่งเสริมการใช้หน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพสูง รวมถึงการใช้งานอย่างถูกวิธี จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้หน้ากากอนามัยยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อไป แม้ในยุคที่ไวรัสมีการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้

ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้ประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยลดลงในช่วงที่ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 เริ่มระบาด ได้แก่:

1. การกลายพันธุ์ของไวรัส: ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน BA.2 มีการกลายพันธุ์ที่ทำให้สามารถแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นและมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น ส่งผลให้หน้ากากอนามัยทั่วไปไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับสายพันธุ์ก่อนหน้า

2. การใส่หน้ากากที่ไม่ถูกวิธี: พฤติกรรมการใส่หน้ากากของประชาชนบางส่วนอาจไม่ถูกต้อง เช่น การสวมหน้ากากไม่ครอบคลุมจมูกหรือปากอย่างเต็มที่ หรือการใช้หน้ากากซ้ำหลายครั้งโดยไม่เปลี่ยนใหม่ ส่งผลให้หน้ากากไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ดีเท่าที่ควร

3. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและมาตรการควบคุม: ในช่วงที่มีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค เช่น การเลิกใช้ข้อกำหนดการสวมหน้ากากอนามัยในบางสถานที่หรือการเพิ่มจำนวนกิจกรรมสังคม ทำให้โอกาสในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะสวมหน้ากากอนามัย

จากผลการศึกษาเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าการปรับปรุงการใช้หน้ากากอนามัยและการเลือกใช้หน้ากากที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น หน้ากากอนามัย N95 หรือ KN95 อาจช่วยเพิ่มระดับการป้องกันในการแพร่กระจายของโควิด-19 ได้
ในอนาคต การใช้หน้ากากอนามัยประเภทที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ น่าจะเป็นหน้ากากประเภทที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:

1. หน้ากากอนามัย N95 และ KN95: หน้ากากอนามัยประเภทนี้มีการกรองอนุภาคขนาดเล็กได้สูงถึง 95% จึงมีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสมากกว่าหน้ากากอนามัยทั่วไป นอกจากนี้ หน้ากากอนามัย N95 และ KN95 ยังมีการออกแบบที่สามารถปิดผนึกได้ดีรอบๆ จมูกและปาก ลดโอกาสที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายผ่านช่องว่างข้างหน้ากากอนามัย

2. หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ (Surgical Masks): หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่มีการรับรองมาตรฐานสามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กและป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ร่วมกับการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมอื่นๆ เช่น การเว้นระยะห่างและการล้างมือ

3. หน้ากากอนามัยที่มีการเคลือบสารป้องกันเชื้อโรค: หน้ากากอนามัยบางประเภทมีการเคลือบสารป้องกันเชื้อโรคที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ ซึ่งอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ

4. หน้ากากอนามัยที่ออกแบบมาเฉพาะบุคคล: การพัฒนาหน้ากากอนามัยที่สามารถปรับขนาดและรูปทรงให้เหมาะสมกับใบหน้าของผู้ใช้แต่ละคนจะช่วยเพิ่มความสามารถในการปิดผนึกและลดช่องว่างที่เชื้อโรคอาจแพร่กระจายเข้าไปได้
การใช้หน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพสูงและการสวมใส่อย่างถูกวิธีควบคู่กับมาตรการป้องกันอื่นๆ เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคมและการฉีดวัคซีน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ ได้มากขึ้น
นอกจากการเลือกใช้หน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น หน้ากากอนามัย N95 หรือ KN95 ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยในการป้องกันโควิด-19 ได้ดังนี้:

1. การสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกวิธี: การสวมหน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เช่น หน้ากากอนามัยต้องครอบคลุมทั้งจมูกและปากแนบสนิทกับใบหน้า ไม่มีช่องว่างที่เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายเข้าไปได้

2. การเปลี่ยนหน้ากากอนามัยอย่างสม่ำเสมอ: หน้ากากอนามัยที่ใช้ซ้ำหรือสกปรกจะสูญเสียประสิทธิภาพในการป้องกัน ควรเปลี่ยนหน้ากากอนามัยใหม่เป็นประจำ โดยเฉพาะหากหน้ากากอนามัยเปียกหรือสกปรก

3. การล้างมืออย่างถูกวิธี: การล้างมือก่อนและหลังการสวมหน้ากากอนามัยจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคที่อาจติดอยู่บนมือ

4. การเว้นระยะห่างทางสังคม: การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1-2 เมตร จะช่วยลดโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อโรค แม้ว่าจะสวมหน้ากากอนามัยแล้วก็ตาม

5. การระบายอากาศในสถานที่ปิด: การระบายอากาศที่ดีในสถานที่ปิด เช่น การเปิดหน้าต่างหรือใช้เครื่องกรองอากาศ จะช่วยลดความเข้มข้นของเชื้อโรคในอากาศ

6. การใช้วัคซีน: การรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อโรค

7. การหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: การหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยเฉพาะจมูก ปาก และตา จะช่วยลดโอกาสในการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

8. การสื่อสารและการให้ความรู้: การให้ความรู้และสื่อสารกับประชาชนเกี่ยวกับวิธีการใช้หน้ากากอนามัยอย่างถูกต้องและความสำคัญของการป้องกันตนเอง จะช่วยเพิ่มความตระหนักรู้และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค
การปฏิบัติตามมาตรการเหล่านี้ควบคู่กับการใช้หน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพสูง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของโควิด-19 ได้มากขึ้น

อ่านข่าว : 

ประติมากรรม "Golden Boy" กลับถึงไทยแล้ว

สภาพัฒน์ฯ หั่น GDP ไทยเหลือ 2-3 % หลัง Q1 ขยายตัวแค่ 1.5 %

กรมโรงงานแจ้งจับรถบรรทุกสวม "ใบ วอ.8" ปลอมขนกากขยะพิษ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง